ซีลชายแดน: หยุดวิถีชีวิต แต่มิจฯ ไปต่อ

คราใดที่ปัญหายาเสพติดระบาด แรงงานต่างด้าวทะลัก อาชญากรหนีออกทางช่องทางธรรมชาติ ศูนย์รวมพนันออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นประเด็นที่จับตาของสังคม สมมติฐานแรกที่เกิดขึ้นคงหนีไม่พ้น ความหละหลวมของมาตรการควบคุมชายแดน หรือเรียกได้ว่าชายแดนรับจบทุกปัญหา

ชายแดนนั้นบริหารจัดการยาก นอกจากสภาพพรมแดนธรรมชาติที่ยากต่อการตรวจตรา ช่องว่างและความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านเปิดโอกาสให้เกิดการแสวงหาผลประโยชน์ในหลายรูปแบบ ตั้งแต่การข้ามแดนมาหางานทำ การค้ามนุษย์ แหล่งผลิตยาเสพติด ทุนสีเทา พนันออนไลน์ ตลอดจนการเป็นฐานที่มั่นของอาชญากรข้ามชาติ ปัญหาชายแดนคอยกัดเซาะชีวิตและเศรษฐกิจอย่างไม่จบสิ้น การใช้นโยบายความมั่นคง ตรวจตราเข้มงวด สกัดจับ ปราบปรามจึงดูเหมือนหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่ชายแดนไม่ได้มีเฉพาะด้านมืดที่เป็นภัยคุกคามเท่านั้น ชายแดนยังทำหน้าที่ในฐานะประตูการค้า เป็นพื้นที่เศรษฐกิจแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการที่ขับเคลื่อนด้วยวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชนชายแดนที่แขวนอยู่กับความผันผวนของสถานการณ์และนโยบายความมั่นคง หลายครั้งที่มาตรการระงับการค้าขาย หรือปิดด่านพรมแดนได้หยุดปากท้องและวิถีชีวิตของชุมชนชายแดน

101 PUB ชวนสำรวจสภาพการณ์และทิศทางนโยบายชายแดน ท่ามกลางภัยคุกคามสมัยใหม่ที่มีพลวัตและไร้พรมแดนมากขึ้น แต่ชีวิตผู้คนยังดำรงชีวิตตามวิถีชุมชนและเศรษฐกิจชายแดน เพื่อเสนอแนวทางการออกแบบนโยบายชายแดนที่สมดุลระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม ในแบบที่ปากท้องคนชายแดนอยู่ได้ อาชญากรอยู่ยาก

ชีวิตชายแดนไม่ได้มีแค่ทุนสีเทา

เมืองชายแดนเต็มไปด้วยความทับซ้อนทั้งมิติการเมือง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในอดีต เมืองชายแดนเคยมีเสน่ห์ดึงดูดผู้คนทั่วประเทศให้เดินทางมาท่องเที่ยว จับจ่ายใช้สอย เช่น ตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก จ.เชียงราย, ตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว, ตลาดอินโดจีน จ.มุกดาหาร, ตลาดริมเมย จ.ตาก หรือตลาดด่านเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี แม้ว่าสภาพแวดล้อมของเมืองชายแดนจะเปลี่ยนไปหลังการระบาดของโควิด-19 ที่มีการปิดด่านพรมแดน รวมถึงการขยายตัวของ E-Commerce ส่งผลให้ตลาดชายแดนหลายแห่งซบเซาลง เป็นช่องโหว่ให้ธุรกิจสีเทาแทรกซึมมาขยายอิทธิพล แต่เมืองชายแดนยังคงมีสถานะเป็นช่องทางนำเข้า-ส่งออกสินค้า จุดเชื่อมต่อการขนส่งข้ามพรมแดน และมีวิถีชีวิตและสังคมที่มักถูกมองข้ามจากนโยบายความมั่นคง

ชายแดนในฐานะประตูการค้า

ปี 2567 การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และมาเลเซีย รวมกันมีมูลค่าสูงถึง 976,921 ล้านบาท (ขยายตัวจากปี 2566 ประมาณ 5.1%) โดยไทยส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านมูลค่า 602,132 ล้านบาท (ขยายตัวจากปีก่อน 3.8%) คิดเป็น 5.71% ของการส่งออกทั้งหมดของไทย และนำเข้าสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน 374,789 ล้านบาท (ขยายตัวจากปีก่อน 7.2%) คิดเป็น 3.44% ของการนำเข้าทั้งหมดของไทย[1]

แม้ยังไม่อาจพึ่งเป็นตลาดช่องทางการค้าหลักให้กับประเทศได้ แต่หากเทียบในแง่ต้นทุนการขนส่งที่ต่ำ ระยะทางสั้น และใช้เวลาขนส่งรวดเร็ว ประกอบกับอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น สะท้อนว่าประเทศเพื่อนบ้านยังเป็นตลาดที่สำคัญ และเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานในภูมิภาค (Regional Supply Chains) ซึ่งอาจถือเป็นกลไกรองรับความเสี่ยง (Safety Net) จากการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลกจากสงครามการค้าได้ ทั้งนี้มูลค่าข้างต้นยังไม่นับรวมการค้าผ่านแดนไปยังประเทศที่สามซึ่งมีอัตราการเติบโตเช่นเดียวกัน

ไม่ว่าสถานการณ์ชายแดนในมิติความมั่นคงจะเป็นเช่นไร แต่ชายแดนยังคงมีสถานะเป็นประตูการค้าเชื่อมโยงภูมิภาค ทั้งนี้ การค้าชายแดนจะเติบโตต่อไปได้ต้องอาศัยระบบนิเวศชายแดนที่มีเสถียรภาพและปลอดภัย

ชายแดนในมิติการค้าแบบไม่เป็นทางการ

สถิติมูลค่าการค้าข้างต้นเก็บจากการขนส่งผ่านพิธีการศุลกากรซึ่งเป็นตัวเลขที่เป็นทางการ แต่พื้นที่ชายแดนยังมีเศรษฐกิจฐานรากซึ่งไม่ได้ถูกนับสถิติคือ ‘เศรษฐกิจชายแดนแบบไม่เป็นทางการ’ ซึ่งอยู่ในทั้งรูปแบบการค้าสินค้าและบริการ เช่น การเดินทางข้ามแดนของประชาชนสองฝั่งประเทศเพื่อจับจ่ายสินค้าอุปโภคบริโภค นอกจากสร้างรายได้ให้กับร้านค้าน้อยใหญ่ ผู้ค้าหาบเร่แผงลอยแล้ว ยังสร้างรายได้ให้แรงงานรายวัน/รายเดือน คนรับจ้างแบกหาม คนขับเรือข้ามฟาก ฯลฯ

ชายแดนในมิติสังคมและวัฒนธรรม

อีกหนึ่งจุดเด่นของชายแดนคือ พื้นที่ทางสังคมและวัฒนธรรมร่วมของประชาชนสองฝั่งประเทศ มีสายสัมพันธ์เครือญาติที่ถูกแบ่งแยกด้วยเส้นเขตแดนของรัฐชาติสมัยใหม่ ดังปรากฏการเดินทางข้ามแดนเพื่อไปไหว้พระขอพรในประเทศเพื่อนบ้าน เที่ยวงานเทศกาล หรือเยี่ยมเยียนสานสัมพันธ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย

เหล่านี้คือชีวิตชายแดนที่มิอาจประเมินมูลค่าเป็นตัวเงินได้ และมักถูกมองข้ามจากการออกแบบนโยบายชายแดนที่ให้ความสำคัญกับการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์แห่งชาติเป็นตัวตั้ง ดังนั้นเมื่อเกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศ หรืออาชญากรรมข้ามชาติ รัฐบาลสองประเทศใช้มาตรการที่เข้มงวด หรือประกาศปิดด่านพรมแดน สิ่งที่สูญเสียไปไม่ใช่เฉพาะเม็ดเงินจากการนำเข้า-ส่งออกระหว่างประเทศ มูลค่าจากการท่องเที่ยว แต่รวมถึงวิถีชีวิตและปากท้องของประชาชนทั้งสองฝั่งประเทศ

มิจฉาชีพ vs. คนชายแดน ใครอยู่ใครไปด้วยนโยบายปิดชายแดน?

ปฏิเสธไม่ได้ว่าชายแดนก็มีเรื่องสีเทาหรือกระทั่งดำตั้งแต่การเป็นฐานการผลิตยาเสพติด คาสิโน และการค้ามนุษย์ซึ่งเป็นตำนานโด่งดังอย่างสามเหลี่ยมทองคำและบริเวณอื่นๆ รวมถึงปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นไม่นานมานี้ซึ่งก็คือการใช้พื้นที่ชายแดนของไทยและประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานที่ตั้งของกลุ่มอาชญากรรมหลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินให้ หรือรู้จักกันในชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยปัญหานี้ได้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นที่คาดการณ์ว่าในปี 2566 มีเหยื่อสูญเสียเงินมูลค่ากว่า 18,000-37,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ การเติบโตของกลุ่มธุรกิจสีเทานี้ได้ส่งผลให้ชายแดนในลุ่มแม่น้ำโขงก้าวขึ้นเป็นฐานในการก่ออาชญากรรมออนไลน์ระดับโลก[2]

แม้ว่าส่วนใหญ่อาชญากรรมออนไลน์จะตั้งฐานอยู่ในพรมแดนของประเทศเพื่อนบ้าน แต่ขบวนการเหล่านี้จำเป็นต้องพึ่งพาชายแดนไทยด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น กระแสไฟฟ้า น้ำมันเชื้อเพลิง สัญญาณโทรศัพท์ สัญญาณอินเทอร์เน็ต ซึ่งซื้อหรือลักลอบมาจากฝั่งไทย แรงงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ทั้งที่สมัครใจและเป็นเหยื่อถูกหลอกไปทำงานก็ต้องเดินทางไปจากฝั่งไทย สถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นประเด็นความมั่นคงชายแดนในรูปแบบใหม่ซึ่งนอกจากสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจแล้ว ยังกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน

รัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับนโยบายชายแดนดังที่นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร แถลงนโยบายต่อรัฐสภาเมื่อวันที่ 12 กันยายน 2567 ในนโยบายที่ 8-9 ซึ่งระบุว่า

“รัฐบาลจะแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเด็ดขาดและครบวงจร เริ่มตั้งแต่การตัดต้นตอการผลิตและจำหน่ายด้วยการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน การสกัดกั้นควบคุมการลักลอบนำเข้าและตัดเส้นทางการลำเลียงยาเสพติด … รัฐบาลจะเร่งแก้ปัญหาอาชญากรรม อาชญากรรมออนไลน์/มิจฉาชีพ และอาชญากรรมข้ามชาติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชน โดยการเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และรับมือกับอาชญากรรมออนไลน์อย่างรวดเร็ว ช่วยเหลือเหยื่อของมิจฉาชีพอย่างทันท่วงที โดยผนึกกำลังกับประเทศเพื่อนบ้านและสร้างกลไกร่วมรับผิดชอบของบริษัทผู้ประกอบกิจการโทรคมนาคมและธนาคารพาณิชย์”[3]

หลังจากนั้น วันที่ 30 มกราคม 2568 นายกรัฐมนตรีได้เปิดปฏิบัติการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติด Seal Stop Safe ผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าภายใต้นโยบายนี้ “จำเป็นต้องเพิ่มกำลัง ผนึกกำลังทหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทั้ง 51 ชายแดน เพื่อให้เกิดความมั่นคงขึ้น ในส่วนของรัฐพร้อมดูแลสนับสนุนทหารและอาสาสมัครอย่างครอบคลุมทุกมิติ” นอกจากนี้ยังดำเนินการควบคู่ไปกับการแก้ปัญหาอาชญากรรมตามแนวชายแดน รวมถึงขบวนการค้ามนุษย์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และการลักลอบเผาป่าต้นเหตุของฝุ่น PM 2.5

นโยบายนี้กำหนดระยะเวลาดำเนินงานไว้ 6 เดือนระหว่างกุมภาพันธ์-กรกฎาคม 2568 ตั้งเป้าผลงานที่เป็นรูปธรรม ได้แก่ การไม่มีการลักลอบนำเข้ายาเสพติดผ่านด่านตรวจ จุดตรวจ และท่าเทียบเรือ บริเวณชายแดนทั้งช่องทางปกติและช่องทางธรรมชาติ และการลักลอบขนส่งผ่านระบบโลจิสติกส์ พัสดุภัณฑ์ เป็นต้น

ทั้งนี้ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าเคยดำเนินมาตรการการลักษณะนี้มาก่อนแล้ว แต่ขาดความร่วมมือและการสื่อสารที่เพียงพอ ซึ่งพื้นที่ชายแดนระยะทางกว่า 2,400 กิโลเมตร การดูแลของเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจอาจไม่ทั่วถึง[4]

สาระสำคัญของนโยบาย Seal Stop Safe คือการยกระดับความเข้มงวดการเข้า-ออก จุดผ่านแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ตรวจตราแรงงานต่างด้าว ให้หน่วยงานที่ให้บริการด้านสาธารณูปโภค เช่น การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การประปาส่วนภูมิภาค ตรวจสอบการจำหน่ายไฟฟ้าและน้ำประปาไม่ให้สนับสนุนการกระทำผิดกฎหมาย ส่วนจังหวัดที่ติดกับชายแดนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมียนมาและสปป.ลาว ให้ประสานงานเพื่อยกระดับความเข้มงวดในการข้ามแดนทุกรูปแบบ ตั้งแต่ด่านถาวร จุดผ่อนปรนการค้า จุดผ่อนปรนพิเศษ จุดผ่านแดนชั่วคราว จุดผ่อนปรนเพื่อการท่องเที่ยว และช่องทางธรรมชาติ และให้มีระบบติดตามประเมินผลนำมาพิจารณาความดีความชอบแก่ผู้ปฏิบัติงาน[5]

กองทัพบกในฐานะหน่วยงานหลักในพื้นที่ชายแดนได้จัดสรรกำลังพลตามนโยบาย Seal Stop Safe ลาดตระเวนและตรวจตราพื้นที่ชายแดน โดยใช้เทคโนโลยีและยุทโธปกรณ์มาเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันชายแดน โดยตั้งแต่ตุลาคม 2567 สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด ควบคุมผู้ลักลอบเข้าเมือง ลักลอบค้าสิ่งของผิดกฎหมาย และตรวจยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์ส่งสัญญาณซึ่งคาดว่าจะเป็นเครื่องมือของแก๊งคอลเซ็นเตอร์[6]

ภายหลังจากปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดมาหลายปี รัฐบาลได้ดำเนินมาตรการเร่งด่วนด้วยการตัดกระแสไฟฟ้าที่ส่งไปยังเมียนมา 5 จุดบริเวณจังหวัดเมียวดีและท่าขี้เหล็ก และการระงับการส่งออกน้ำมัน ตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติครั้งที่ 2/2568 ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568

อย่างไรก็ดี ผู้เฝ้าสังเกตการณ์ในเมียวดีหลายฝ่ายพบว่าอาคารที่ต้องสงสัยว่าเป็นฐานของขบวนการฯ ยังคงเปิดไฟใช้งานตามปกติ ขณะที่ประชาชนไทยทั้งประเทศยังคงได้รับโทรศัพท์และข้อความ SMS หลอกลวงต่อเนื่องถึงปัจจุบัน โดยมีข้อสังเกตว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการเตรียมตัวรับมือล่วงหน้าอย่างดี ทั้งเครื่องปั่นไฟ ซื้อน้ำมันจากแหล่งอื่น และซื้อไฟฟ้าจากสปป.ลาว ทดแทนการพึ่งพาจากชายแดนไทย มิหนำซ้ำยังมีตัวชี้วัดเป้าหมายการหลอกลวงเหยื่อด้วยมูลค่าที่สูงขึ้น[7]

อย่างไรก็ตามผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการดังกล่าวไม่ได้มีเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์เท่านั้น แต่วิถีชีวิตคนชายแดนก็โดยผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยราคาค่าน้ำมันในฝั่งเมืองเมียวดีสูงขึ้น ทำให้สถานที่ราชการ ตลาด และโรงพยาบาลในฝั่งเมียนมาต้องใช้เครื่องปั่นไฟและโซลาร์เซลล์ ขณะที่ประชาชนบางส่วนต้องใช้ตะเกียงส่องสว่างในครัวเรือน มาตรการดังกล่าวจึงกระทบต่อประชาชนและสังคมในวงกว้าง[8] และอาจก่อให้เกิดผลกระทบทางอ้อมต่อประชาชนไทยพื้นที่ชายแดน เพราะหากโรงพยาบาลในฝั่งเมียนมาไม่สามารถให้บริการได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ อาจต้องลักลอบข้ามมาฝั่งไทยทางช่องทางธรรมชาติเพื่อมารักษาพยาบาล หรือหากเกิดการขาดแคลนน้ำมัน เกิดภาวะข้าวยากหมากแพงอาจเกิดปัญหาการลักลอบเข้าเมืองและการลักขโมยในชุมชนชายแดนของไทย[9]

นโยบายซีลชายแดนและการตัดกระแสไฟฟ้าตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าต้นตอของปัญหายาเสพติดและอาชญากรรมออนไลน์ข้ามฝั่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นเครื่องมือของนโยบายนี้คือการเพิ่มสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ภาคส่วนต่างๆ เพิ่มทรัพยากร เครื่องมือ และงบประมาณเพื่อคุมเข้มตลอดแนวชายแดนไม่ให้มีอะไรเล็ดลอดเข้ามาได้ จึงเกิดคำถามว่านโยบายการซีลชายแดนเป็นนวัตกรรมเชิงนโยบายในการบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนเพียงใด แตกต่างจากอำนาจหน้าที่ปกติของหน่วยงานในพื้นที่ชายแดนอย่างไร และหากรัฐบาลจะรับมือกับประเด็นชายแดนที่มีแนวโน้มความแปรผันและทวีความรุนแรงขึ้น นโยบายลักษณะนี้จะสร้างเสถียรภาพด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และชุมชนชายแดนได้ยั่งยืนเพียงใด

รัฐบาลวางแผนบริหารชายแดนแบบสมดุล แต่ทำจริงใช้ความมั่นคงนำ

โจทย์ที่รัฐบาลและสังคมต้องคิดต่อคือ แม้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมีต้นตออยู่ที่ชายแดน แต่หลังการใช้มาตรการเข้มงวดได้ประจักษ์ชัดว่าขบวนการเหล่านี้ก่ออาชญากรรมในพื้นที่ไซเบอร์ ไม่ได้ยึดติดฐานที่ตั้งทางภูมิศาสตร์หรือกายภาพ สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบและก่ออาชญากรรมอย่างไร้พรมแดนต่อไปได้

ณ วันนี้ปัญหาชายแดนจึงมิใช่เรื่องของคนในปริมณฑลไกลปืนเที่ยงอีกต่อไป แต่รุกล้ำเข้ามาถึงโทรศัพท์มือถือและบัญชีธนาคารของคนไทยทั่วประเทศ และเดิมพันด้วยวิถีชีวิตของประชาชนในพื้นที่ชายแดนด้วยความยาวของพรมแดนไทยยาวกว่า 5,671 กิโลเมตร แน่นอนว่ารัฐไม่สามารถทุ่มสรรพกำลังทั้งทรัพยากรมนุษย์และงบประมาณลงไปควบคุมตลอดแนวเขตแดนทุกตารางนิ้วได้ ประเทศไทยจะดำเนินนโยบายชายแดนอย่างไร และมีทางเลือกในการบริหารกิจการชายแดนที่สามารถรักษาสมดุลความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม พร้อมรับมือกับภัยคุกคามสมัยใหม่อย่างไร

ปัจจุบันการบริหารกิจการชายแดนอยู่ภายใต้แผนหลักสองฉบับ (รองจากยุทธศาสตร์ชาติ) ได้แก่ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570) และแผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2566-2570) แผนดังกล่าวกำหนดบทบาทและหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยโครงสร้างนโยบายและแผนชายแดน มีรายละเอียดดังนี้

นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566-2570) กำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับชายแดน ดังนี้

หมวดประเด็นความมั่นคง นโยบายและแผนความมั่นคงที่ 3 การรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติพื้นที่ชายแดน “มุ่งเน้นการพัฒนาพื้นที่ชายแดนและประชาชนในพื้นที่ มีความมั่นคง ปลอดภัย มีศักยภาพในการป้องกันและแก้ไขภัยคุกคามทุกรูปแบบ มีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการพัฒนาทางเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของมนุษย์อย่างสมดุล และเป็นพื้นที่แห่งความร่วมมือกับประเทศรอบบ้านในการป้องกันภัยคุกคามและปัญหาความมั่นคง แก้ไขปัญหาคงค้าง รวมถึงสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจร่วมกันอย่างยั่งยืน โดยสร้างสภาพแวดล้อมในพื้นที่ชายแดนให้มีความปลอดภัยและมีศักยภาพในการป้องกันและแก้ไขภัยคุกคาม ยกระดับและพัฒนาจุดผ่านแดนให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันภัยคุกคามและเชื่อมโยงเศรษฐกิจ การค้า และการสัญจรข้ามแดน ตลอดจนสามารถแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับประเทศรอบบ้านให้เกิดความสมดุลระหว่างผลประโยชน์แห่งชาติและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” (กระทรวงมหาดไทย เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ)[10]

การกำหนดนโยบายชายแดนระดับชาติให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคง เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงมนุษย์ในฐานะที่เป็นองคาพยพของระบบนิเวศชายแดน ซึ่งมีทั้งมิติการรักษาผลประโยชน์แห่งชาติและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านทับซ้อนกันอยู่ นโยบายและแผนระดับชาติฉบับนี้จึงเป็นกรอบใหญ่ในการกระจายนโยบายสู่การปฏิบัติของแต่ละหน่วยงาน

ขณะที่ แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2566-2570) ซึ่งเป็นแผนรองรับยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคงและนโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติฯ ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลระหว่างการรักษาความมั่นคงกับการส่งเสริมความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ และการบูรณาการระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับกิจการชายแดน กำหนดตัวชี้วัด 4 ประการ ได้แก่ 1) การพัฒนาระบบป้องกันตามแนวชายแดนด้วยการใช้เทคโนโลยีอย่างน้อยร้อยละ 85 ของจังหวัดชายแดนทั้งหมดภายในปี 2570 2) มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี 3) เป้าหมายในการสำรวจและจัดหาหลักเขตของไทยอยู่ที่ร้อยละ 80 ภายในปี 2570 4) ความสำเร็จของการพัฒนาระบบสนับสนุนบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนสำเร็จร้อยละ 85 ในปี 2570 โดยกำหนดแนวทางการดำเนินงาน 9 ประการ ดังนี้

แนวทางดำเนินการหน่วยงานรับผิดชอบหลักแผนปฏิบัติราชการ
(2566-2570)
1. พัฒนาระบบป้องกันพื้นที่ชายแดนระบบป้องกันชายแดนกระทรวงกลาโหมแผนฯ 5 ปี กระทรวงกลาโหม, กองบัญชาการกองทัพไทย
2. พัฒนาระบบการเชื่อมโยงข้อมูลการสัญจรข้ามแดนสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองแผนฯ 5 ปี สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง
3. พัฒนาความเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนกรมศุลกากร กระทรวงการคลังแผนฯ 5 ปี กระทรวงการคลัง, กรมศุลกากร
4. การเตรียมความพร้อมในการยกระดับจุดผ่านแดนกระทรวงมหาดไทยแผนฯ กระทรวงมหาดไทย, กรมการปกครอง
5. การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ชายแดนกระทรวงแรงงานแผนฯ 5 ปี กระทรวงแรงงาน, กรมจัดการงาน
6. การพัฒนาระบบเฝ้าระวังโรคและภัยสุขภาพข้ามแดนกระทรวงสาธารณสุขแผนปฏิบัติการด้านสาธารณสุขชายแดน
7. พัฒนาระบบการติดตาม เฝ้าระวัง แจ้งเตือน ป้องกันโรคระบาดในพืชและสัตว์ รวมถึงควบคุมสุขอนามัยพืชและสุขอนามัยสัตว์ข้ามพรมแดนกระทรวงเกษตรฯแผนฯ 5 ปี กระทรวงเกษตร, กรมวิชาการเกษตร, กรมปศุสัตว์, กรมประมง
8. ดำเนินการจัดระเบียบหรือควบคุมพื้นที่ที่มีปัญหาเขตแดนสภาความมั่นคงแห่งชาติแผนฯ 5 ปี กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ,กรมแผนที่ทหาร
9. จัดทำฐานข้อมูลความมั่นคงชายแดนสภาความมั่นคงแห่งชาติแผนปฏิบัติการด้านการบูรณาการข้อมูลด้านความมั่นคง

ที่มา: สรุปข้อมูลจาก แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2566-2570)[11]

แผนฯ ใหญ่ส่งต่องานชัดเจน แผนฯ ย่อยแยกกันทำ?

เมื่อศึกษาลงไปในรายละเอียดการส่งต่อแผนนโยบายภาพใหญ่สู่การปฏิบัติจริงที่บรรจุในแผนปฏิบัติราชการของแต่ละกระทรวงที่เกี่ยวข้อง พบว่าแต่ละหน่วยงานเจ้าภาพได้บรรจุประเด็นชายแดนในแผนปฏิบัติราชการตามบทบาทและอำนาจหน้าที่ ส่งผลให้การดำเนินงานโครงการตามแผนฯ ของแต่หน่วยงานมีตัวชี้วัดและค่าเป้าหมายที่ขาดการเชื่อมโยงระหว่างกันตามเป้าประสงค์ของแผนระดับชาติ

ตัวอย่าง แผนปฏิบัติราชการ (ปี 2566-2570) ของหน่วยงานรับนโยบายในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชายแดน

กระทรวงกลาโหม

  • ผลผลิต/โครงการ: 2.3.4.7 โครงการสนับสนุนการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความมั่นคง (อาทิ การจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน … การค้ามนุษย์ การหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย การคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของชาติพื้นที่ชายแดนฯ)
  • ตัวชี้วัด: 1) ความสำเร็จของการจัดกำลังสนับสนุนการปฏิบัติตามแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติและปัญหาวิกฤติด้านความมั่นคงจากภายในประเทศและภายนอกประเทศ ไม่น้อยกว่า 90% ของภารกิจที่ได้รับมอบ 2) ความสำเร็จในการบูรณการกับหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง 100% ของภารกิจที่ได้รับมอบ[12]

กระทรวงมหาดไทย: ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 การเสริมสร้างความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงภายใน

  • ผลผลิต/โครงการ: 4) การอำนวยการและประสานงานนโยบายกิจการต่างประเทศ กิจการชายแดน และผู้อพยพ
  • ตัวชี้วัด: จำนวนครั้งในการเข้าร่วมการประชุมระหว่างประเทศ และจำนวนครั้งในการออกติดตามพื้นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับผู้หนีภัยการสู้รบจากเมียนมา 40 ครั้ง เป็นต้น
  • ผลผลิต/โครงการ: 7) ผลผลิตการรักษาความมั่นคงภายใน
  • ตัวชี้วัด: จำนวนครั้งในการออกหนังสือผ่านแดน 2 ล้านครั้ง เป็นต้น[13]

กรมศุลกากร กระทรวงการคลัง

  • ผลผลิต/โครงการ: 4.2.1 เรื่อง พัฒนากระบวนการงานทางศุลกากรเพื่ออำนวยความสะดวกทางการค้าและระบบโลจิสติกส์ แนวทางการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวก ในพื้นที่ชายแดน/เขตเศรษฐกิจพิเศษ เช่น โครงการวัดระยะเวลาที่ใช้ในการตรวจปล่อยสินค้า TRS เป็นต้น
  • ตัวชี้วัด: 1) ระดับความพึงพอใจของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ต่ำกว่า 90% 2) ระยะเวลาภายใต้กระบวนการ TRS คงที่หรือลดลง 3)การปรับกระบวนงานทางศุลกากรให้เป็นอิเล็กทรอนิกส์เป็นไปตามแผนดิจิทัลระยะ 5 ปี
  • ผลผลิต/โครงการ: 4.2.3 เรื่อง พัฒนาระบบควบคุมทางศุลกากรให้มีประสิทธิภาพและเชื่อมโยงกัน เช่น โครงการพัฒนาระบบ CCTV และเทคโนโลยีที่เหมาะสม เพื่อการควบคุมทางศุลกากร ระยะที่ 4 รองรับเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ เป็นต้น
  • ตัวชี้วัด: 1) ระดับความเชื่อมั่นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่มีต่อการดำเนินงานด้านการปกป้องสังคมของกรมศุลกากร ไม่ต่ำกว่า 90% 2) สัดส่วนการตรวจพบความผิดจากการใช้ข้อมูลล่วงหน้าต่อการจับกุมรวมเท่ากับหรือมากกว่าค่าเฉลี่ยของสัดส่วน 3 ปีย้อนหลัง 3) จำนวนการจับกุมคดีลักลอบและหลีกเลี่ยงภาพรวมเท่ากับหรือมากกว่าค่าเฉลี่ยของผลการจับกุม 3 ปีย้อนหลัง เป็นต้น[14]

จากตัวอย่างข้างต้นแสดงถึงบทบาทของแต่ละหน่วยงานซึ่งนำนโยบายชายแดนมาสู่การปฏิบัติ แต่สิ่งที่ตกหล่นจากการนำนโยบายชายแดนไปปฏิบัติคือการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน รวมถึงการรักษาสมดุลระหว่างความมั่นคงกับมิติของความมั่นคงมนุษย์ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก และการเติบโตร่วมกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงปรากฏแนวทางการจัดการปัญหาชายแดนที่ให้ความสำคัญกับประเด็นความมั่นคงและการเข้มงวดในการรักษาความปลอดภัยของชายแดนเป็นวาระหลัก

กรณีศึกษา: ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก ซีลชายแดนเข้ม แต่แลกมาด้วยผลกระทบเชิงลบ

ปัญหาชายแดนสีเทาเกิดขึ้นทั่วโลกไม่ได้มีแค่ไทยเท่านั้นที่ใช้นโยบายซีลชายแดน หลังโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2568 ประกาศนโยบาย “ปิดผนึกชายแดนตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง” (Seal the Border on Day 1) ออกคำสั่งขับไล่และส่งกลับผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายออกจากชายแดนทางใต้ของสหรัฐฯ เนื่องจากทรัมป์มองว่าผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายสร้างปัญหาให้กับชาวอเมริกัน ทั้งด้านการจ้างงาน สวัสดิภาพ และความปลอดภัยของสาธารณะ ความกดดันในโรงเรียน โรงพยาบาล และชุมชน ในแต่ละปีสหรัฐฯ ต้องสูญเสียเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับผู้อพยพซึ่งทรัมป์ประกาศว่าจะใช้มาตรการทางกฎหมายทุกช่องทางที่มีเพื่อแก้ไขวิกฤตนี้[15]

พื้นที่ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโก เป็นศูนย์กลางของอาชญากรรมและธุรกิจสีเทา ยาเสพติด การค้ามนุษย์ และการฟอกเงิน นโยบายหลักที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้คือมาตรการเข้มงวดบริเวณชายแดน เช่น สร้างกำแพงกั้นแนวพรมแดน ใช้เทคโนโลยีสอดแนม ตรวจจับผู้อพยพและส่งกลับ รวมถึงการใช้มาตรทวิภาคีกดดันเม็กซิโกให้ปราบปรามอาชญากรรมภายในประเทศอย่างเด็ดขาด

แต่ผลที่ตามมาก่อให้เกิดผลกระทบในมุมกลับ เนื่องจากกลุ่มอาชญากรสามารถปรับตัวและหาช่องทางในการลำเลียงยาเสพติดด้วยวิธีการใหม่ๆ เพื่อหลบเลี่ยงการตรวจจับ เช่น ขุดอุโมงค์ใต้ดิน ใช้โดรนลำเลียงของผิดกฎหมาย สรรหาวัตถุดิบใหม่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติด ขณะที่ผู้อพยพก็หลีกเลี่ยงการตรวจคนเข้าเมือง โดยหันไปพึ่งกลุ่มอาชญากรจึงตกเป็นเหยื่อของขบวนการค้ามนุษย์ สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ประเทศที่มีสรรพกำลังและงบประมาณที่เพียบพร้อมก็ไม่อาจแก้ไขปัญหาชายแดนอย่างยั่งยืนได้ โดยการใช้มาตรการความมั่นคงนำ ยิ่งไปกว่านั้นกลุ่มอาชญากรยังสามารถปรับตัวและสรรหาวิธีการใหม่ๆ เพื่อรับมือกับมาตรการที่เข้มงวดได้เป็นอย่างดี[16]

ชายแดนสหรัฐฯ-เม็กซิโกเป็นบทเรียนที่สอดคล้องกับนโยบายการแก้ปัญหาชายแดนของไทยที่ต้องคิดต่อว่าการแก้ปัญหาโดยให้ความสำคัญกับมิติความมั่นคงเป็นหลักเป็นเพียงทางเลือกเดียวหรือไม่

ฟื้นชีวิตชายแดน ค้าขายเติบโต คนชายแดนอยู่ได้ มิจฉาชีพอยู่ยาก

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนมีความซับซ้อนและมิอาจละเลยต่อประเด็นความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศได้ ดังนั้นความมั่นคงจึงยังคงเป็นองค์ประกอบสำคัญของการแก้ปัญหาชายแดน แต่บริบทสถานการณ์โลกสมัยใหม่เปลี่ยนแปลงไป อาชญากรข้ามชาติปรับกลยุทธ์ดำเนินงานแบบไร้พรมแดน จัดสรรรายได้และผลกำไรผ่านการฟอกเงินและสกุลเงินดิจิทัล ซึ่งยากต่อการตรวจจับทางกายภาพ บางมาตรการอาจจึงไม่ได้สร้างผลกระทบให้เหล่าอาชญากร แต่กลับสร้างผลกระทบทางอ้อมเป็นบาดแผลให้กับสังคม ชุมชน และประชาชนในพื้นที่ชายแดนที่ต้องทำมาค้าขายลำบากขึ้น ปริมาณอุปสงค์-อุปทานผันแปรไปตามนโยบายจากส่วนกลาง การเดินทางข้ามแดนตามวิถีท้องถิ่นได้ยากขึ้น จึงเป็นโจทย์สำคัญต่อการออกแบบนโยบายชายแดนที่สอดคล้องกับโลกสมัยใหม่

แก้ปัญหาทุนเทาชายแดนที่ต้นตอ

สาเหตุที่พื้นที่ชายแดนกลายเป็นที่นิยมของธุรกิจสีเทามาจากปัจจัยหลักคือช่องว่างการพัฒนาเศรษฐกิจของเมืองชายแดนในกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในพื้นที่อยู่ในระดับต่ำ ประกอบกับบางพื้นที่อำนาจรัฐบาลส่วนกลางเข้าไม่ถึง อยู่ใต้อิทธิพลของกองกำลังชนกลุ่มน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมียนมา จึงเป็นช่องโหว่ให้ธุรกิจสีเทาเลือกเข้ามาใช้พื้นที่ชายแดนดำเนินกิจการเพราะห่างไกลจากการโดนปราบปราม ยิ่งไปกว่านั้นการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone: SEZ) ในหลายประเทศมีการวางระบบโครงสร้างพื้นฐานแล้ว แต่ขาดการใช้ประโยชน์ และขาดการลงทุนในอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมถึงคาสิโนและศูนย์รวมความบันเทิงที่ไม่สร้างผลกำไร กลุ่มธุรกิจสีเทาจึงใช้ช่องว่างเหล่านี้มาเป็นฐานในการทำอาชญากรรมออนไลน์

เพื่ออุดช่องว่างให้ประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านสามารถแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ในพื้นที่ชายแดนร่วมกันได้ ทางเลือกในการแก้ปัญหาได้อย่างยั่งยืนควบคู่กับการปราบปรามคือ การพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนร่วมกันระหว่างสองประเทศ เช่น การเจรจาระหว่างนายกรัฐมนตรีไทย-สปป.ลาว เมื่อเดือน กุมภาพันธ์ 2568 ที่เน้นย้ำว่าต้นตอสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้นความร่วมมือระหว่างประเทศในการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์จะได้ผลยั่งยืนต้องทำไปพร้อมกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั้งสองประเทศ[17]

นอกจากนี้การพัฒนา SEZ ที่มีอยู่มาเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจชายแดนได้ ผ่านการเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมหลักของประเทศ เช่น อุตสาหกรรมสีเขียว เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ เกษตรแปรรูป การผลิตอาหารแห่งอนาคต อาหารปลอดภัย ฯลฯ โดยใช้กลไกเชิงสถาบันและกลไกเชิงกฎหมายมาบริหารจัดการ SEZ ให้มีสิทธิประโยชน์ที่ดึงดูดการลงทุน มีกลไกตรวจสอบที่มาของแหล่งทุนปิดช่องทางการฟอกเงิน มีตลาดรองรับ สร้างการจ้างงาน สร้างรายได้ให้ท้องถิ่นชายแดน พัฒนาระบบโลจิสติกส์ ยกระดับการบริการสมัยใหม่ และร้อยเรียงห่วงโซ่คุณค่าระดับอนุภูมิภาค (Sub-Regional Value Chains) ร่วมกันระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง อันเป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในการยับยั้งบทบาทของอาชญากรข้ามชาติในพื้นที่ชายแดน โดยที่ผ่านมาการพัฒนา SEZ ที่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากความคุ้มทุนของอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่จะย้ายฐานการผลิตมาอยู่ที่ชายแดน ดังนั้นการจะปัดฝุ่น SEZ มาใช้ประโยชน์อีกครั้งจำเป็นต้องออกแบบนโยบายที่คำนึงถึงห่วงโซ่คุณค่าข้ามพรมแดนและการกระจายการผลิต ให้ไทยและประเทศเพื่อนบ้านได้ประโยชน์ร่วมกัน หรือในรูปแบบของ ‘เมืองแฝดเขตเศรษฐกิจพิเศษคู่’ เพื่อเปลี่ยนทิศทางการพัฒนาพื้นที่โดยใช้เศรษฐกิจนำ[18] โดยอาศัยศักยภาพของพื้นที่ เช่น เกษตรกรรม อุตสาหกรรม หรือภาคบริการมาเป็นโจทย์ในการดึงประสิทธิภาพท้องถิ่นมาใช้ประโยชน์

ปราบทุนเทาอย่างเท่าทันด้วย Cybersecurity

เมื่อปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ปฏิบัติการแบบไร้พรมแดน การมุ่งปราบปรามฐานที่ตั้งบริเวณชายแดนไม่สามารถแก้ปัญหาในระยะยาวได้ ดังปรากฏการปรับตัวของกลุ่มขบวนการที่สามารถวางกลยุทธ์และปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว สามารถเคลื่อนย้ายฐานที่ตั้งได้ง่ายดาย ดังนั้นการใช้นโยบายความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ระดับชาติจึงเป็นทางเลือกสำคัญสำหรับรองรับอาชญากรรมในรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการใช้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนเพื่อชะลอธุรกรรมการเงินเพื่อตรวจสอบก่อนไปถึงมือมิจฉาชีพ หรือ ‘มาตรการหน่วงเงิน’ เป็นการยืดเวลาให้เหยื่อมีโอกาสตัดสินใจเพิ่มขึ้น และสถาบันการเงินสามารถตรวจสอบความผิดปกติของบัญชีก่อนอนุมัติจ่ายเงินให้บัญชีปลายทาง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้กระทบต่อความน่าเชื่อถือในการทำธุรกรรมสุจริตของบุคคลทั่วไป สามารถออกแบบได้ว่าลักษณะการโอนเงินแบบใดที่ต้องหน่วงเงิน หรือการกำหนดวงเงิน และการพิจารณาความผิดปกติของบัญชีปลายทางโดยสถาบันการเงิน โดยหลายประเทศได้ใช้มาตรการหน่วงเงินมาเป็นกลไกชะลอความเสียหายจากการหลอกลวงออนไลน์ เช่น ออสเตรเลียและสหราชอาณาจักร[19]

เปิดโอกาสท้องถิ่นสองประเทศร่วมบริหารชายแดน

บทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในพื้นที่ชายแดนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรับมือปัญหาความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม เนื่องจากทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ ผู้ประกอบการรายใหญ่-รายย่อย และประชาชนทั่วไปในพื้นที่ชายแดนต่างเป็นผู้ที่รับผลกระทบโดยตรงจากปัญหาชายแดนและนโยบายจากส่วนกลาง รับรู้และเข้าใจสถานการณ์ปัญหาต่างๆ เป็นอย่างดี ดังนั้นการกำหนดนโยบายชายแดนควรส่งเสริมบทบาทของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องระดับท้องถิ่นของทั้งสองประเทศในการกำหนดนโยบายชายแดน และการแก้ปัญหาเฉพาะของแต่ละพื้นที่ เช่น บทบาทของคณะกรรมการชายแดนไทย-เมียนมา (TBC) เป็นต้น ควบคู่กับการส่งเสริมสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคมบริเวณชายแดนโดยการมีส่วนร่วมของท้องถิ่น เช่น การส่งเสริมการค้าชายแดนและการสานต่อวัฒนธรรมประเพณีระหว่างประชาชนสองประเทศซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการรักษาความมั่นคง การพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมชายแดนได้อย่างยั่งยืน อันนำมาซึ่งการลดอิทธิพลและบทบาทของกลุ่มธุรกิจสีเทา

References
1 กรมการค้าต่างประเทศ. (28 มกราคม 2568). การค้าชายแดนและผ่านแดนไทยเดือนมกราคม 2568 โตต่อเนื่อง +2.7% ส่งออกไปจีน +18.0% เมียนมา +13.9%. Facebook. 
2 United Nations Office on Drugs and Crime. (2024, October). Transnational organized crime and the convergence of cyber-enabled fraud, underground banking and technological innovation in Southeast Asia: A shifting threat landscape. United Nations Office on Drugs and Crime, Regional Office for Southeast Asia and the Pacific.
3 สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (12 กันยายน 2567). คำแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี.
4 กรมประชาสัมพันธ์. (30 มกราคม 2568). นายกฯ สั่งผนึกกำลัง 51 อำเภอชายแดน เปิดปฏิบัติการ “Seal Stop Safe” สางปัญหายาเสพติด.
5 สำนักข่าวอินโฟเควสท์. (27 กุมภาพันธ์ 2568). มท.1 เดินหน้าปฏิบัติการ Seal Stop Safe สั่งยกระดับคุมเข้มชายแดนไทย หยุดวงจรยาเสพติด-อาชญากรรม.
6 กองทัพบกไทย. (15 กุมภาพันธ์ 2568). ทบ. นำสื่อมวลชนสายทหาร ลงพื้นที่ติดตามการปฏิบัติงานของหน่วยเฉพาะกิจ.
7 PPTV Online. (6 กุมภาพันธ์ 2568). ตัดไฟ-ตัดเน็ตแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่สะเทือน ทำงานปกติ-ทำยอดมากกว่าเดิม? PPTVHD36.
8 ประชาชาติธุรกิจ. (21 กุมภาพันธ์ 2568). ตัดไฟทุบค้าชายแดน 9 หมื่นล้าน ดีเซลราคาพรวด 63บาท/ลิตร.
9 Thai PBS. (5 กุมภาพันธ์ 2568). “มั่นคง” ส่องชายแดนไทย-เมียนมา หลังตัดไฟ-อินเทอร์เน็ต เมียวดีThai PBS.
10 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ. (2565). นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ (พ.ศ. 2566–2570).
11 สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ. (2566). แผนปฏิบัติการด้านการบริหารจัดการชายแดนด้านความมั่นคง (พ.ศ. 2566–2570).
12 กระทรวงกลาโหม. (2566). แผนปฏิบัติราชการ ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐). สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม.​
13 กระทรวงมหาดไทย. (2566). แผนปฏิบัติราชการ ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐). สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย.
14 กรมศุลกากร. (2566). แผนปฏิบัติราชการ ระยะ ๕ ปี (พ.ศ. ๒๕๖๖ – ๒๕๗๐). กองยุทธศาสตร์และแผนงาน.​
15 The White House. (2025, January 22). Fact sheet: President Donald J. Trump protects the states and the American people by closing the border to illegals via proclamation.
16 Dudley, S., Asmann, P., & Dittmar, V. (2023, June). Unintended consequences: How US immigration policy foments organized crime on the US-Mexico border. InSight Crime.
17 Thai PBS. (20 กุมภาพันธ์ 2568). ไทย-ลาว จับมือปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หนุนค้าชายแดน. Policy Watch.
18 สำนักข่าวชายขอบ. (18 เมษายน 2568). มุมมองของ ศ.ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ต่อแหล่งอาชญากรรมโลก ชเวโก๊กโก่-KK Park.
19 กัลป์ กรุยรุ่งโรจน์. (24 มกราคม 2568). หน่วงแค่โจร ไม่หน่วงเศรษฐกิจ: แนวทางลดลูกหลงของ ‘มาตรการหน่วงเงิน’. 101 PUB.

MOST READ

Spotlights

14 Aug 2018

เปิดตา ‘ตีหม้อ’ – สำรวจตลาดโสเภณีคลองหลอด

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย พาไปสำรวจ ‘คลองหลอด’ แหล่งค้าประเวณีใจกลางย่านเมืองเก่า เปิดปูมหลังชีวิตหญิงค้าบริการ พร้อมตีแผ่แง่มุมเทาๆ ของอาชีพนี้ที่ถูกซุกไว้ใต้พรมมาเนิ่นนาน

ปาณิส โพธิ์ศรีวังชัย

14 Aug 2018

Social Issues

27 Aug 2018

เส้นทางที่เลือกไม่ได้ ของ ‘ผู้ชายขายตัว’

วรุตม์ พงศ์พิพัฒน์ พาไปสำรวจโลกของ ‘ผู้ชายขายบริการ’ ในย่านสีลมและพื้นที่ใกล้เคียง เปิดปูมหลังชีวิตของพนักงานบริการในร้านนวด ร้านคาราโอเกะ ไปจนถึงบาร์อะโกโก้ พร้อมตีแผ่แง่มุมลับๆ ที่ยากจะเข้าถึง

กองบรรณาธิการ

27 Aug 2018

Social Issues

5 Jan 2023

คู่มือ ‘ขายวิญญาณ’ เพื่อตำแหน่งวิชาการในมหาวิทยาลัย

สมชาย ปรีชาศิลปกุล เขียนถึง 4 ประเด็นที่พึงตระหนักของผู้ขอตำแหน่งวิชาการ จากประสบการณ์มากกว่าทศวรรษในกระบวนการขอตำแหน่งทางวิชาการในสถาบันการศึกษา

สมชาย ปรีชาศิลปกุล

5 Jan 2023

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save